Search
Close this search box.
Search
Close this search box.

กุมภาพันธ์ 12, 2022

McDonalds กลายเป็นบริษัทเข้าร่วมวงการจักรวาลนฤมิต (Metaverse) รายล่าสุด หลังจากได้ได้ยื่นจดสิทธิบัตรหลายฉบับเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการด้าน Metaverse โดยเฉพาะ สิทธิบัตรครอบคลุมทั้งด้านร้านอาหารดิจิทัล คาเฟ่ และอื่น ๆ สื่อทั่วโลกรายงานในสัปดาห์ล่าสุด คุณ Josh Gerben นักกฎหมายด้านเครื่องหมายการค้าทวีตเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เปิดเผยถึงการยื่นขอจดสินทธิบัตร 10 ฉบับของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารและเครื่องดื่ม โดยยื่นต่อสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายทางการค้าสหรัฐฯ (USPTO) เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาทวีตในช่วงเวลาหันเข้าสู่ Metaverse ของ McDonald หลังจากยื่นจดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ สำหรับบริการต่าง ๆ เช่น “ร้านอาหารเสมือนจริงที่มีสินค้าและบริการเสมือนจริง” และ “การดำเนินงานร้านอาหารเสมือนจริงที่มีบริการเดลิเวอรี่จัดส่งถึงบ้าน” สิทธิบัตรดังกล่าวยังรวมถึงเทคโนโลยีสำหรับ “คอนเสิร์ตออนไลน์และคอนเสิร์ตเสมือนจริง” และแพลตฟอร์มความบันเทิงเสมือนจริงอื่น ๆ การยื่นของสิทธิบัตรฯ ของ McDonald เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจาก Panera Bread ยื่นขอเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม“Paneraverse” ด้านอาหาร เครื่องดื่มเสม

โดยย่อ Portals โครงการ Metaverse ฐาน Solana ระดมทุนได้ $5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการระดมทุนรอบ seed funding NFT เริ่มต้นที่ $9,000 ในตลาดรอง และบริษัทอย่าง FTX US และ Binance.US ได้สร้างสำนักงานใหญ่เป็น Metaverse ของตนเองในโลก Portals แล้ว ขณะที่โครงการจักรวาลนฤมิต (Metaverse) .หลายรายในปัจจุบัน ได้แก่ Decentraland และ The Sandbox กำลังสร้างบน Ethereum เราเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวมากขึ้นจากคู่แข่ง โดย Portals ฐาน Solana ได้แรงฉุดและผู้ใช้งานที่โดดเด่นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวในฤดูใบไม้ร่วงปีที่ผ่านมา และตอนนี้โครงการระดมทุนได้ $5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์ Metaverse ต่อไป เมื่อเร็ว ๆ นี้ Portals ประกาศระดมทุนได้ $5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รอบ seed funding นำโดย Greylock มีนักลงทุนเข้าร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง อาทิ Multicoin Capital, Solana Ventures, Alameda Research, Sino Global Capital และบริษัท Mantis VC ของ Chainsmokers โครงการมีแผนใช้เงินทุนขยายทีมงานนักพัฒนาโครงการ Metavere เพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดตัวศูนย์กลางเมือง Portals Downtown ที่กำลังจะมีขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ได้รับการปรุง

การเข้ามาของเมต้าเวิส ทำให้เกิดเสียงฮือฮาเป็นวงกว้าง หลายๆ ธุรกิจ เริ่มให้ความสนใจกับโลกเสมือนจริงมากขึ้น และเปิดกว้างในการรับข้อมูลข่าวสารในประเด็นนี้ นอกจากนั้นยังติดตามว่าเมต้าเวิสจะเปิดให้ได้ลองใช้เมื่อไหร่ แต่หากมองในอนาคตการเกิดขึ้นของโลกเสมือนจริง อาจส่งผลกระทบกับแบรนด์มากกว่าที่คิด หากแบรนด์ไม่ได้ปรับตัว อาจจมหายไปในตลาดของโลกอนาคตได้ ดังนั้นมาวางแผนเตรียมรับมือกัน 1.ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด สิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนเลย กลยุทธ์ต่างๆ ในการจูงใจลูกค้า ในยุคนี้ผู้คนหันมาซื้อของออนไลน์ มากกว่าไปเดินเลือกซื้อสินค้าที่ช็อป หรือห้างสรรพสินค้า ทำให้การเข้ามาของเมต้าเวิส อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ให้หันมาซื้อของผ่านโลกจำลองมากยิ่งขึ้น หากแบรนด์มองหาโอกาสและเข้าไปอยู่ในโลกจำลอง ก็จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ แต่ในช่วงแรกอาจลองรีเสิร์จว่ากลุ่มเป้าหมายเรา ชอบการสื่อสารการตลาดแบบใด 2.สร้าง Mataverse เป็นของตัวเอง เชื่อว่ากลยุทธ์นี้ หลายๆ แบรนด์กำลังวางแผนและอยากทำอยู่แน่ๆ เพราะจะช่วยให้แบรนด์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ได้ แต่ข้อควรระวังการสร้างเมต้าเวิส

ถ้าคุณเป็นคนชอบเทคโนโลยี ต้องได้ติดตามข่าว Metaverse อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ Facebook ประกาศกำลังจะพัฒนาโลกเสมือนจริง ก็ส่งผลกระทบแรงบวกให้หลายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ ตื่นตัวมากยิ่งขึ้น เพราะโลกเสมือนจริง จะเปลี่ยนชีวิตของทุกคนบนโลกไปอย่างแน่นอน และดูท่าจะเป็นขุมทรัพย์มหาศาลด้วย ดังนั้นลองมาดูกัน ว่าทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ ต้องอยากสร้างเมต้าเวิส 1.โอกาสสร้างเงินมหาศาล แน่นอนว่าหากโลกเมต้าเวิส ได้เปิดให้ใช้จริง ต้องมี User จำนวนหลายล้านล้านคน แห่เข้ามาร่วมในโลกเสมือนจริงแน่นอน และใครที่ได้เป็นผู้สร้างเมต้าเวิส จะสามารถกอบโกยเงินได้หลายเท่า ทั้งการเก็บค่าเข้า , ค่าโฆษณา รวมถึงสปอนเซอร์ต่างๆ ที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในการสร้างโลกเสมือนจริงนี้ดด้วย นอกจากนี้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ แบรนด์ ก็วางแผนที่จะเข้าร่วมในเมต้าเวิส ดังนั้นเม็ดเงินก็มีแต่เพิ่มกับเพิ่มชัวร์ 2.ทำลายข้อจำกัดทางธุรกิจ เคยมั้ยต้องปฏิเสธ โอกาสเพียงเพราะคิวไม่ว่าง หรือติดธุระด่วน แต่การเข้ามาของโลกเสมือนจริง จะทลายกำแพงทุกอย่าง เพราะคุณจะเข้าถึงคู่ค้า หรือธุรกิจอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถทำได้ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง แค่ไป

นอกจากวิธีเตรียมรับมือ เพื่อเข้าสู่โลกเสมือนจริง สิ่งหนึ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญมากๆ คือเรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว เพราะคุณต้องเปิดเผยตัวตน เมื่อเข้ามาในโลกเสมือนจริงด้วย ดังนั้นลองมาดูวิธีการสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิต ก่อนที่จะเข้าสู่โลก Metaverse กัน 1.ความปลอดภัย & ความเป็นส่วนตัว ต้องมาก่อน! เริ่มต้นด้วยเรื่องสำคัญ เมื่อทุกคนเข้าสู่โลกเสมือนจริง ต้องมีการยกระดับการรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ใช้ในเมต้าเวิสมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ทุกคนมั่นใจ ว่าข้อมูลที่เราอนุญาตเข้าถึงเพื่อยืนยันตัวตน จะไม่ถูกนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ที่จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของบัญชีได้ 2.พิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้งาน มีข้อสงสัยที่หลายคนตั้งคำถาม ว่าเราจะรู้จักตัวตนของคนในโลกเมต้าเวิสได้อย่างไร มีอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตน ของคนที่อยู่ข้างหน้าของเราได้บ้าง ว่านี่เป็นคนจริงๆ ไม่ได้ถูกใครสวมรอย หรือปลอมแปลงข้อมูลมา ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ต้องมีการทบทวนถึงการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อความน่าเชื่อถือ และต้องเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย 3.สกุลเงินและการชำระเงิน ต่อด้วยเรื่องของสกุลเงินและการชำ

หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า การเกิดขึ้นของโลกเมต้าเวิส จะเปลี่ยนชีวิตอย่างไรบ้าง ที่รู้คร่าวๆ คือเราจะสามารถสัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียงได้ ผ่านเทคโนโลยี AI และ AR และทำให้คุณท่องไปในโลกเสมือนจริงได้ แม้เมต้าเวิสจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพราะกำลังถูกพัฒนาอยู่ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ เมื่อโลกเสมือนจริงเข้ามา มีอะไรบ้าง มาดูกัน 1.ทำงานจากทางไกล ช่วงนี้หลายคนคุ้นชินกับการทำงานแบบ WFH แต่บางบริษัทก็ไม่เปิดรับ การทำงานในลักษณะนี้ เพราะคิดว่าจะเป็นการทำให้พนักงานสบาย การเข้าออฟฟิศจึงสำคัญกว่า แต่การเกิดขึ้นของโลกเมต้าเวิส ผู้คนจะทำงานจากที่บ้าน และหาเงินจากการอยู่ในโลกเสมือนจริงแทน และการทำงานในลักษณะนี้จะสร้างมูลค่าได้มากกว่า การเข้าไปในออฟฟิศได้แน่นอน เพราะโลกเมต้าเวิส จะกลายเป็นขุมทรัพย์ และความต้องการมากถึงมากที่สุดชัวร์ 2.เข้าสู่โลกดิจิทัลเต็มตัว แน่นอนว่าตอนนี้เราอยู่ในยุคโลกดิจิทัล ที่เทคโนโลยี เข้ามาในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่สำหรับเมต้าเวิส จะทำให้ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะเดินหน้าแบบเต็มกำลัง รูปแบบการจ่ายเงินจะเปลี่ยนไป ทำให้มีสกุลเงิน

เมต้าเวิสกำลังมาแรง คนยุคใหม่หลายคน หันไปสนใจเรื่องโลกเสมือนจริงมากขึ้น รวมถึงเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่มองหาวิชาความรู้ที่มีความทันสมัย และตอบรับกับเทรนด์ของโลกมากขึ้น สาขาวิชาเก่าๆ จึงอาจถูกเลือกน้อยลง และอาจถูกปิดการเรียนการสอนไปได้ ดังนั้นวิชาความรู้ใดบ้าง ที่ยังคงอยู่รอด และเป็นวิชาสำคัญแม้เมต้าเวิสจะเข้ามา ถ้าอยากรู้มีวิชาอะไรบ้าง ตามมาเลย 1.เศรษฐศาสตร์ เริ่มต้นด้วยวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่จะสามารถเอาชนะความทันสมัยของโลกเสมือนจริงได้ เพราะการขยายตัวของเมต้าเวิส ต้องอาศัยการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ Ecosystem ที่ต้องอาศัย Blockchain เป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้คุณต้องมีความรู้ในเรื่องของ Demand และ Supply อีกทั้งควรรู้เรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภค และดุลยภาพของตลาด เป็นต้น ดังนั้นบอกได้เต็มปากว่าวิชาเศรษฐศาสตร์ยังคงมีความสำคัญ 2.อักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ แน่นอนว่าวิชานี้ไม่หายไปได้ง่ายๆ เพราะองค์ประกอบของโลกเสมือนจริง ต้องอาศัยคอนเทนต์ และต้องมีผู้สร้างที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ , วรรณกรรม และโบราณคดี รวมถึงการเรียบเรียงภาษา ที่ต้องเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คนในโลกเมต้าเวิส สื่อส

นอกจากเหรียญ Sand , DOT ก็จะมีชื่อของ JFIN อยู่ในลิสต์ต้นๆ ที่ทุกคนต้องซื้อเหรียญติดไว้ เพราะเป็นเหรียญใหญ่ ที่มีการระดมทุนจาก 3 บริษัท โดยมี Jaymart เป็นหัวเรือใหญ่ เพราะอะไร JFIN ถึงได้ฮิตขนาดนี้ ลองมาทำความรู้จัก เหรียญนี้ไปพร้อมกัน จุดเริ่มต้นของ JFIN เหรียญ JFIN เกิดขึ้นจากบริษัทในกลุ่ม Jay Mart ที่ต้องการระดมทุน เพื่อนำไปพัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) หรือการให้คนกู้เงินดิจิทัล ผ่านมือถือ โดยมี 3 บริษัทที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Jay Mart สร้างชื่อในบริษัทขายมือถือและอุปกรณ์เสริม ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Holding Company มีบริษัทในเครือที่ดูแลหลายบริษัท JFintech ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น KB J Capital โดยบริษัทลูกที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อย โดยต้องการทุนที่ได้จาก JFIN มาพัฒนา Decentralized Digital Lending Platform (DDLP) J Ventures บริษัทลูกน้องใหม่ ก่อตั้งในปี 2560 เพื่อสร้างกระบวนการ Digital Transformation ให้บริษัทในเครือ และบริษัทที่ระดมทุนด้วยวิธี ICO โดยออกเหรียญชื่อ JFIN Coin นั่นเอง JFIN เป็นเหรียญแบบไหน สำหรับ JFIN เป็นคริปโทเคอร์เรนซี ของประเทศไทยที

เวลานี้จะเดินทางไปไหน มองเห็น Out Of Home ต้องเจอป้าย Bitkub เรียกได้ว่าเป็นกระดานเทรดหุ่น ที่ครองเบอร์ 1 ในประเทศไทย และประวัติของ CEO อย่าง คุณท็อปจิรายุส ก็มีความน่าสนใจ ไม่แพ้บิตคอยน์เลย ดังนั้นเราเลยพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าของ Bitkub ให้มากขึ้นกัน ตามมาเลย เริ่มต้นความฝันด้วยการเป็นนักกีฬา โดยประวัติของท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาพ ปัจจุบัน อายุ 31 ปี กว่าจะมาเป็น CEO บิตคอยน์อันดับ 1 ของไทย เขาเติบโตมาในครอบครัวธุรกิจขายปลีกและขายส่งเสื้อผ้า ส่วนวัยเด็กถูกส่งไปเรียนระดับมัธยมที่ประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมแบกความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ จนถึงขั้นได้เป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถ แต่ในช่วงแรกของชีวิต อาจมีกีฬาเป็นตัวผลักดันมากกว่า จุดพลิกผันของชีวิต หลังจากจบชั้นม.6 เขาตัดสินใจกลับมาประเทศไทย เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี แต่ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ต่ำเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไหนได้ จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ The University of Manchester ประเทศอังกฤษแทน ในระหว่างที่อยู่อังกฤษ ท็อปเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งใจมากขึ้น จนถึงขั้นได้รับเกียรตินิยม และต่อ

ถ้าจะพูดถึงแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี่ ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ชื่อของ Bitmart ต้องมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะมีการบริการที่ครอบคลุม และวางแผนที่จะขายไปยังภาษาหลักอื่นๆ ในอนาคตด้วย เพราะอะไรแอพนี้จึงได้รับความนิยมขนาดนี้ ลองมาทำความรู้จักไปพร้อมกัน ก่อตั้งในปี 2560 ครอบคลุม 180 ประเทศทั่วโลก สำหรับแอพ Bitmart เปิดตัวในปี 2560 โดย Sheldon Xia ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ของ BitMart และขึ้นมาเป็น Exchange ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้ในสถาปัตยกรรมระบบ Multi-layer และ Multi-cluster ช่วยรองรับความปลอดภัย ความเสเถียรและความสามารถในการปรับขนาดของระบบ Exchange อีกทั้งมีการให้บริการลูกค้ามากกว่า 600,000 คน ใน 180 ประเทศทั่วโลก โดย Bitmart มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่หมู่เกาะเคย์แมน และมีสาขาอยู่อีกหลายที่ ทั้งในประเทศจีน , เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา อีกทั้งมีการให้บริการซื้อขายทั้งแบบ fiat-to-crypto และ crypto-to-crypt สำหรับเหรียญและ Utility Token นอกเหนือจากนี้ยังมีฟังก์ชันที่สนใจ เช่น การซื้อขายแบบ Spot , การซื้อขายแบบ Future การให้ยืมและการ Staking แหล่งรวมเหรียญที่น่าสนใจ แอพ Bitmart มีการรอง

สำหรับเหรียญ ETH หรือ Ether จัดเป็นเหรียญที่คนให้ความสนใจมาก และเป็นคริปโทเคอร์เรนซี่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และกำลังมีมูลค่าทะลุ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐเรียบร้อยแล้ว จนกลายเป็นเหรียญที่ทำมูลค่าสูงที่สุดประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของ ETH เกิดขึ้นมาจากไหน เดี๋ยวเราจะพาไปทำความรู้จักกับมหาเศรษฐีของโลก เจ้าของเหรียญในวัย 27 กัน จุดเริ่มต้นจากมหาเศรษฐีวัย 27 ปี เหรียญ ETH เริ่มจากเด็กหนุ่ม ที่มีชื่อว่า “Vitalik Buterin” เป็นชาวรัสเซีย จุดเริ่มต้นต้องย้อนไปตอนอายุ 17 พ่อของเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และได้แนะนำให้ลูกชายรู้จักกับบิตคอยน์ แม้ในช่วงแรกเขาจะไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่ายังไงก็ล้มเหลว เนื่องจากไม่ได้มีมูลค่าเป็นของตัวเอง แต่พอได้ยินเรื่องบิตคอยน์จากคนรอบตัวบ่อยขึ้น เขาจึงตัดสินใจศึกษาเทคโนโลยีของบิตคอยน์อย่างจริงจัง จนกลายเป็นความหลงใหล และเขาได้ก่อตั้งนิตยสาร Bitcoin Magazine เพื่อศึกษาเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี่ โดยเขาทำทั้งหมดนี้ในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น เปิดตัวเหรียญ Ethereum ระหว่างที่เขาศึกษาบิตคอยน์แบบลงลึกมากขึ้น เขาจึงเห็นไอเดียที่จะสร้างบล็อกเชนขึ้นมาใหม่ ให้ครอบคลุมการทำธุรกรรม

ใครที่ไม่ค่อยได้เล่นคริปโทเคอร์เรนซี่ แต่ก็ยังติดตามข่าวสารมาบ้าง อาจจะเคยได้ยินชื่อเหรียญ “Polkadot” และอาจคิดว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้า หรืออะไรที่เกี่ยวกับแฟชั่น แต่ความจริง นี่คือชื่อคริปโทเคอร์เรนซี่ ที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ามากขึ้น และเป็นหนึ่งในเหรียญที่มีความน่าสนใจมาก ใครอยากจะมีติดมือไว้ ลองมาทำความรู้จักไปด้วยกัน เชื่อมต่อบล็อกเชนเข้าด้วยกัน เหรียญ Polkadot (DOT) ถูกคิดค้นขึ้นจาก Dr.Gavin Wood อดีต CEO ที่สร้างเหรียญชื่อดัง อย่าง Ethereum โดยมีแนวคิดว่าบล็อกเชนในปัจจุบันมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป จึงต้องการจะเชื่อมต่อบล็อกเชนต่างๆ เข้าด้วยกัน และเรียกแนวคิดนี้ว่า Connecting the Dots จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ Polkadot อย่างที่เรารู้จักกัน สำหรับเหรียญ DOT คือ Blockchain แบบ Proof Of Skate ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมต่อบล็อกเชนอื่นๆ เข้าด้วย โดยแต่ละบล็อกเชนจะเข้ามาเชื่อมต่อ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และความรวดเร็วในการรองรับยอดการทำธุรกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้การสื่อสารภายในเครื่อข่าย ทำได้รวดเร็วขึ้นด้วย แม้จะมียอดผู้ใช้งานจำนวนมาก โครงสร้าง

หนึ่งในเหรียญที่มีความน่าสนใจช่วงนี้ ต้องยกให้เหรียญ SIX หรือที่คุ้นกันใน SIX Network เป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่มีจุดประสงค์ คือ มุ่งสร้างเศรษฐกิจของโลกดิจิทัลให้เกิดขึ้นได้จริง บนเครือข่ายของบล็อกเชน และ Smart Contract ทำให้ชื่อของ SIX เริ่มถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเหรียญนี้กัน ผู้ก่อตั้ง SIX Network สำหรับบริษัท SIX Network ก่อตั้งและจดทะเบียนในปี 2018 โดย คุณ ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เป็นผู้ก่อตั้ง และยังเป็น CEO ของบริษัท Ookbee และผู้บริหารกองทุน 500 ตุ๊กตุ๊ก และคุณวัชระ เอมวัฒน์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Computerlogy ที่ร่วมมือกันสร้าง SIX Network โดยมีจุดประสงค์ เพื่อปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟในประเทศไทย และสร้างระบบ Decentralized Services Platform มุ่งทำให้เกิดสภาพคล่องและการแบ่งปันผลประโยชน์ แก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน และผู้ใช้บริการ เหรียญ SIX Coin เป็นอย่างไร? เหรียญ SIX เกิดจากธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยสื่อดิจิทัล ที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่ง ในประเทศเกาหลีและประเทศไทย ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งบริษัท OOKBEE U Company Limited, Yello Digital Marketing Glo

“ผมไม่สนเรื่องความร่ำรวย” ประโยคปลุกใจจากชายผู้สร้างเว็บเทรดคลิปโตฯ อันดับหนึ่งของโลก อย่าง ‘Binance’ แม้เขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวยที่สุดในวงการคริปโตฯ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย CZ คือแบบอย่างของคนที่คว้าทุกโอกาสในชีวิต และกล้าที่จะเสี่ยงลงทุน ส่งผลให้ชีวิตและธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จ เขากลายเป็นเศรษฐีอันดับที่ 11 ของโลก เพราะอะไร ทำให้เขามายืนจุดนี้ได้ ลองมาทำความรู้จักชายคนนี้ให้มากขึ้น เริ่มต้นด้วยความลำบาก ถ้าติดตาม Binance ต้องคุ้นกับชื่อ CZ แน่ๆ แต่ชื่อเต็มของเขา คือ ‘จ้าว ฉาง เผิง’ CEO และผู้ก่อตั้ง Binance เว็บเทรดคริปโตฯ อันดับหนึ่งของโลก ประวัติเริ่มต้นของเขาๆ เกิดที่ประเทศจีน ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่ประเทศแคนาดา ในเมืองแวนคูเวอร์ โดยในช่วงแรกชีวิตของเขาลำบากพอสมควร เพราะต้องช่วยที่บ้านหาเงิน และเขาเคยเป็นพนักงานร้าน Mcdonal ส่วนพ่อเป็นโปรแกรมเมอร์ ส่งผลให้เขามีความสนใจ และได้เรียนรู้ทักษะจากคนเป็นพ่อ อีกทั้งเขาก็มีสกีลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พอสมควร เพราะเขียนโปรมมาตั้งแต่ยังเด็กๆ พอโตขึ้นก็เข้าเรียนในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในมหาวิทยา

ในช่วง 1 – 2 ปีหลังนี้ ถ้าจะพูดถึงนักธุรกิจหนุ่มที่กำลังมาแรง และเพิ่งได้เป็นบุคคลแห่งปี 2021 จากนิตยสารไทม์ คงหนีไม่พ้น ‘อีลอน มัสก์’ นักธุรกิจและวิศวกร เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Space X , Tesla Motor เป็นต้น เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลของโลก การโดดเข้ามาร่วมลงทุนในเหรียญ Dogecorn , บิตคอย์นและอีเทอเรียม ทำให้ตัวเลขมีความผันผวนมาก แค่เขาทวีตเพียงหนึ่งครั้ง เหรียญก็ราคาพุ่งไม่ทราบสาเหตุ เพราะอะไรเขาจึงได้รับการยอมรับ ลองมาดูประวัติของเขากัน เด็กหนุ่มผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ อีลอน มัสก์ เกิดที่ประเทศแอฟฟริกาใต้ อายุ 51 ปี เขาเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยชอบยุ่งกับคนอื่น และหมักจะหมกตัวอยู่กับกองหนังสือการ์ตูน และเกมคอมพิวเตอร์ พออายุเข้า 17 ปี ก็ย้ายมาอยู่ประเทศแคนา เพื่อหนีการฝึกทหาร ก่อนจะค้วาปริญญาตรีพร้อมกัน 2 ใบ ทั้งในสาขาเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์ รวมทั้งพลังงานใน Stamford University ระหว่างที่เรียนต่อในปริญญาเอก เขาดรอปเรียน เพื่อก่อตั้งบริษัทแรก ชื่อ Zip2 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการทำคอนเทนต์ออนไลน์ จากนั้นไม่กี่ปีก็ขายกิจการทั้งหมดให้กับ Compaq ได้เงินมามากกว่า 3

ช่วงนี้หากจะนึกถึงเหรียญมาแรง ต้องยกให้กับ ‘Solona’ ที่พร้อมเฉือดทุกเหรียญที่กำลังพุ่งในขณะนี้ ด้วยราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น 7,600% หรือพูดง่ายๆ ลงทุน 10,000 บาท ได้กลับมา 760,000 บาท รู้งี้น่าจะซื้อเก็บไว้สักเหรียญ ใครที่สนใจเจ้าเหรียญนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักให้มากขึ้น บอกเลยว่าเจ๋งมากตัวนี้ ก่อตั้งในปี 2017 สำหรับ SOLANA ถูกก่อตั้งในเดือนมีนาคม 2017 โดยมูลนิธิ Solana โดยมีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมี CEO ชื่อว่า ‘อนาโตลี ยาโคเวนโค’ Anatoly Yakovenko ในส่วนของ SOL เป็นแพลตฟอร์มที่รองรับธุรกรรมแบบกระจายอำนาจ โดยเปิดให้นักพัฒนาเข้ามาสร้าง Dapp แบบไร้เครือข่ายได้ อีกทั้งยังมีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกกันว่า “Proof-of-History” ที่สามารถตรวจสอบธุรกรรมด้วย Cyptographic Clock ที่สามารถลำดับเหตุการณ์ในอดีตบนบล็อกเชนได้นั่นเอง เจ้าของฉายา ‘Ethereum Killer’ โดยเหรียญของ SOL ได้รับฉายาในวงการคริปโตเคอร์เรนซี่ ว่าเป็น ‘Ethereum Killer’ หรือคนที่จะมาฆ่า Ethereum ที่อยู่ภายใต้อัลกอรึทึมแบบ Proof of Stake หรือวิธีการทำงานของระบบตรวจสอบและบันทึกธุรกิจบนบล็อกเชน โดย

สายคริปโทฯ ตัวจริง ต้องไม่พลาดที่จะมีเหรียญของ Sand ติดมือไว้แน่นอน เพราะราคาของเหรียญก็เพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีช่วงลงบ้าง แต่ก็ยังเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมาก และเป็นเหรียญที่นำไว้ใช้ซื้อขายในเกมของ The Sandbox นั่นเอง ใครที่สนใจเหรียญนี้อยู่ ลองมาทำความรู้จักไปพร้อมกัน เติบโตอย่างรวดเร็วภายใน 1 ปี สำหรับเหรียญ Sand ถูกก่อตั้งโดย CEO อย่าง Arthur Madrid ที่จุดประกายความคิดให้ทำเหรียญ Sand ขึ้นมา ส่วนราคาของเหรียญก็มีการเติบโตที่ดี ประมาณ 67,736.7% หรือ 677 เพียงระยะเวลา 1 ปี ส่วน Chain ที่รองรับจะเป็นเกมที่รันอยู่บน Etheruem Chain จัดเป็นเหรียญที่มีความน่าสนใจมาก โดนตัวเหรียญนี้ เป็นเหรียญมาตรฐาน ERC – 20 บนเครือข่าย Etheruem ที่ใช้ในเกม Sandbox เกมออนไลน์ที่ผู้เล่นสามารถแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างอิสระ โดยจะมีระบบบริหารแบบ Decentralized Autonomous Organization (DAO) อีกทั้งผู้เล่นยังสามารถสร้างสินทรัพย์รูปแบบ on-fungible tokens (NFTs) บน The Sandbox พร้อมนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้เล่นคนอื่นๆ ได้ เพื่อแลกรับเหรียญของ Sand เป็นรางวัลตอบแทนนั่นเอง บุกเบิกโลก Metaverse บอกได้เลยว่า

Follow us

Most read in category

Digital currency