IT NEWS

Tim Cook ซีอีโอ Apple ได้พูดคุยถึงเมตาเวิร์สและประเด็นต่าง ๆ จากการให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ กับทาง Bright สำนักข่าวดัตช์ Cook บอกกับสำนักข่าวว่า การเขียนโปรแกรมเป็น “ภาษาที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้” เขากล่าวว่าทุกคนควรเรียนรู้การเขียนโค้ด และชั้นเรียนควรมีการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา Tim Cook ซีอีโอของ Apple กล่าวถึงความสำคัญของการสอนทักษะการเขียนโค้ดในโรงเรียนในระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์กับ Bright สำนักข่าวดัตช์ “ฉันคิดว่าทุกคนควรเรียนรู้การเขียนโปรแกรมก่อนที่จะจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม ทว่าจริง ๆ แล้วฉันคิดว่าควรสอนตั้งแต่ในโรงเรียนประถม” Cook บอกกับสำนักข่าว พร้อมเสริมว่าเขามองว่าการเขียนโค้ดเป็น “ภาษาสากลเพียงภาษาเดียว” “ถือเป็นภาษาที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถเรียนรู้ได้” เขาเสริม “แน่นอนว่าภาษาแม่ของคุณมีความสำคัญต่อการสื่อสารมากกว่า แต่ภาษาโปรแกรมเป็นวิธีหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของคุณ” Cook ได้ส่งเสริมการเขียนโปรแกรมในหลักสูตรการศึกษาระดับปฐมวัยเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยกล่าวเอาไว้ในปี 2019 ว่า ควรเป็น “ทักษะหลัก”

Tim Cook ซีอโอ Apple ได้เดินทางทัวร์ยุโรปในสัปดาห์นี้ โดยนั่งให้สัมภาษณ์กับสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เป็นหัวข้อประเด็นอภิปรายของ Cook และเป็นหัวข้อที่เขาหยิบขึ้นมาอีกครั้งจากการให้สัมภาษณ์กับทาง Bright ซึ่งตีพิมพ์ในเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ RTL News “ฉันคิดว่า AR เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำลึกจะส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง” Cook กล่าว พร้อมแสดงความคิดเห็นจากอิตาลีเมื่อต้นสัปดาห์ “อย่างที่ฉันบอกไป เราจะมองย้อนกลับไปแล้วคิดว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยู่โดยปราศจาก AR ได้อย่างไร” Cook กล่าวต่อไปอีกว่า “อีกไม่นาน” ก่อนที่เราจะอยู่ในโลกที่เราสงสัยว่าเราทำได้อย่างไรโดยไม่ปราศจาก Augmented Reality (AR)  โดย Cook กล่าวว่า Virtual Reality ก็มีประโยชน์เช่นกันเพราะมันสมจริง แต่ไม่สามารถแทนที่ชีวิตจริงได้ “เป็นสิ่งที่คุณสามารถดื่มด่ำได้อย่างแท้จริง และสามารถใช้ได้ในทางที่ดี แต่ฉันไม่คิดว่าคุณต้องการใช้ชีวิตทั้งชีวิตแบบนั้น VR มีไว้สำหรับช่วงเวลาที่กำหนด แต่ไม่ใช่วิธีสื่อสารที่ดี ฉันไม่ได้ต่อต้าน แต่นั่นคือวิธีที่ฉันมองมัน” สำหรับเรื่อง “เมตาเวิร์ส

ผู้ที่อยู่ในธุรกิจการขาย NFT กำลังจะเห็นว่า การร่วมลงทุนมีความเสี่ยงมีกำไรน้อยไปหน่อย ดูเหมือนว่า Apple ได้ก้าวเข้าสู่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งกำไร NFT ทำนองว่ามีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่อนุญาตให้ Apple หักกำไร NFT ที่ขายได้ผ่านแอพ iOS ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และบริษัทเทคโนโลยีรายนี้กำลังพยายามอย่างเต็มที่ป้องกันผู้ที่มีโอกาสเป็นผู้ขายหลบเลี่ยงค่าธรรมเนียมเหล่านี้ ตามที่ระบุไว้โดย Apple Insider นั้น มาร์เก็ตเพลซทั่วไปจะรับค่าคอมมิชชั่น 2-3 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม รายงานใหม่จาก The Information ระบุว่า Apple กำลังพิจารณาหักค่าคอมมิชชั่น 30 เปอร์เซ็นต์จากดีล NFT ใด ๆ ก็ตามที่ดำเนินการผ่านแอพ iOS ผลที่ตามมาคือ ผู้ซื้อขาย NFT กำลังพิจารณาย้ายออกจากระบบนิเวศ Apple โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตาร์ทอัพต่าง ๆ มองว่าค่าธรรมเนียมสูงเกินไปทำให้แทบไม่ได้กำไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น การซื้อผ่าน App Store จะต้องใช้ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก Apple ไม่สามารถซื้อขายด้วยคริปโตได้ เนื่องด้วยลักษณะและมูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีผันผวน การกำหนดจำนวนเงินที่แปลงเป็นดอลลาร์จึงเป็นเรื่องยาก Apple ได้โต้ตอบรายงานของ The Information พร้อมแจ้งให้ตรวจสอบ

WhatsApp ได้ก้าวข้ามจากจุดกำเนิดมาอย่างยาวนานในฐานะแอพส่งข้อความง่าย ๆ สำหรับเพื่อน แต่ตอนนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารหลักสำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาช่องทางตรงไปยังกระเป๋าของลูกค้าโดยตรง ทั้งตามตัวอักษรและเชิงเปรียบเทียบ บริษัทนับไม่ถ้วนหันมาใช้แอพส่งข้อความเพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทแม่ของ WhatsApp มองข้ามไป จริง ๆ แล้ว Meta Platforms Inc. บริษัทยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง  Facebook, Instagram, Messenger และ WhatsApp ได้ลงทุนใน Take App บริษัทสตาร์ทอัพในสิงคโปร์ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Youmin Kim อดีตผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมของ Facebook ซึ่งออกจากบริษัทโซเชียลมีเดียเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อทำงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นสะพานเชื่อมช่องว่างดิจิทัล ( digital gap) สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพื้นฐานแล้ว Take App จะทำหน้าที่เป็นวิธีการง่าย ๆ แก่ผู้ที่มีความรู้เชิงเทคนิคน้อยให้สามารถตั้งค่าเว็บง่าย ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อออนไลน์ ได้แก่ ตระกร้าสินค้า การชำระเงิน การเชื่อมต่อโดยตรงกับ WhatsApp เพื่อจัดการและติดตามออเดอร์ขั้นตอนสุดท้าย ขณะที่ร้านอาหารเป็นศูนย์ก

โดยสรุป Bitfinex และ Tether เปิดตัว Keet แอพวิดีโอคอลแบบเพียร์ทูเพียร์ ทั้งสองบริษัททุ่มทุนไปแล้ว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงการใหม่ และวางแผนเพิ่มทุนอีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  บริษัท Bitfinex และ Tether ได้เข้าสู่ธุรกิจใหม่ สร้างแอพพลิเคชั่นแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P) ทั้งสองบริษัทพร้อมด้วย Hypercore บริษัทพัฒนาโครงการพื้นฐาน P2P ได้สร้างบริษัทและโปรโตคอลใหม่ชื่อว่า Holepunch แล้วทั้งสามได้เปิดตัวแอพ Keet ตัวแรก ซึ่งเป็นแอพวิดีโอคอลเข้ารหัสแบบเพียร์ทูเพียร์ Keet จะช่วยให้ผู้ใช้งานกำหนดเวลาการโทรด้วยเสียงและวิดีโอ ส่งข้อความแชท และแบ่งปันไฟล์ได้ฟรี โดยแอพ Keet ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Distributed Holepunching (DHT) ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาและเชื่อมต่อหากันได้ “โดยใช้เฉพาะคู่คีย์เข้ารหัสที่ได้รับอนุญาต” พัฒนาโครงการห้าปี Bitfinex, Tether และ Hypercore ได้สร้างเทคโนโลยีนี้ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา คุณ Paolo Ardoino ซีทีโอของทั้งสองบริษัทและตอนนี้ยังเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Holepunch อีกด้วย “ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่คือการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถ

ภัยคุกคามของ TikTok ต่อธุรกิจ Google มิได้จำกัดแค่ใน Youtube เท่านั้น บริการหลักของ Google ได้แก่ เสิร์ชค้นหา (Search) และแผนที่ (Maps) ก็ได้รับผลกระทบต่อความชื่นชอบโซเชียลมีเดียและวิดีโอที่เพิ่มขึ้น ในฐานะจุดเริ่มต้นค้นหาของผู้ใช้งานที่มีอายุน้อยกว่า ผู้บริหาร Google ยอมรับในเรื่องนี้ในงานอีเวนต์ คุณ Prabhakar Raghavan รองประธานอาวุโส ผู้บริหารองค์กร Knowledge & Information organization ของ Google กล่าวถึงแอพโซเชียลยอดนิยมในงานประชุม Fortune’s Brainstorm Tech เกี่ยวกับอนาคตของผลิตภัณฑ์ Google และการใช้งาน AI  ในการอภิปรายเกี่ยวกับพัฒนาการของการค้นหา (Search) นั้น เขาค่อนข้างตั้งข้อสังเกตอย่างตรงไปตรงมาว่า คนรุ่นใหม่ตอนนี้มักหันไปใช้แอพอย่าง Instagram และ TikTok แทนที่ Google Search หรือ Maps เพื่อค้นหาข้อมูลกันแล้ว  “เราเรียนรู้เป็นประจำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใหม่ ๆ ไม่ได้คาดหวังและมีทัศนคติอย่างที่เราคุ้นเคย” คุณ Raghavan กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า “คำถามค้นหาที่พวกเขาค้นหานั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” ผู้ใช้งานเหล่านี้มักจะไม่พิมพ์คีย์เวิร์ด แต่มองหาผลข้

Follow us

Most read in category

Digital currency