ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Meta มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก
มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 201 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่เฟซบุ๊ก (Facebook) เปลี่ยนชื่อเป็น เมตา (Meta) ในเดือนตุลาคม ปี 2021 และการขยายธุรกิจไปสู่ฮาร์ดแวร์สำหรับเมตาเวิร์สและปัญญาประดิษฐ์
ปัจจุบัน หุ้น Meta กำลังซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 567 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อหุ้น ณ ปัจุจุบัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 6 เท่า จากระดับต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ประมาณ 88 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น
หลังจากเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ได้หนึ่งปี ราคาหุ้นของ Meta ตกลงอย่างรุนแรงจากช่วง 300 ดอลลาร์สหรัฐ ไปถึงจุดต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายน 2022 ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัทไปสู่ประสบการณ์ความเป็นจริงเสริม (augmented reality,AR) และการมุ่งเน้นการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในขณะนั้น
ที่มา : TradingView
ตั้งแต่นั้นมา บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรกของโลก ครึ่งหนึ่ง ซึ่งรวมถึง Apple, Google, Nvidia และ Microsoft ได้เริ่มพัฒนาฮาร์ดแวร์สำหรับเมตาเวิร์ส (Metaverse )
ข้อมูลจากบลูมเบิร์ก มหาเศรษฐีในวงการเทคโนโลยีรายนี้ มีมูลค่าสุทธิ (ณ เดือนกันยายน 2024 ) เป็นรอง อีลอน มัสก์, เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon และเบอร์นาร์ อาร์โนลต์ นักธุรกิจชาวฝรั่งเศส
ธุรกิจเมตาเวิร์สของ Meta และการพัฒนาล่าสุด
ซักเคอร์เบิร์กเปิดตัวแว่นตาเสริมความเป็นจริง Orion ของ Meta ในงาน Meta Connect ที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 25 กันยายน แว่นตาใหม่นี้มีโปรเจคเตอร์ขนาดเล็กที่สร้างการแสดงผลแบบแฮนด์ฟรี (virtual heads-up display, HUD) ทับซ้อนกับวัตถุในโลกแห่งความจริง
ในงานเดียวกัน ผู้ก่อตั้ง Meta ได้เปิดตัวแว่นตาเสมือนจริงรุ่นใหม่และราคาประหยัดกว่า นั่นคือ Quest 3S ซึ่งจะเข้ามาแทนที่แว่นตา Quest 3 ความจุ 128 GB รุ่นก่อนหน้า
ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของ Meta จะเพิ่มขึ้นตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อแบรนด์ในปี 2021 แต่บริษัทก็ได้ลดงบประมาณสำหรับเมตาเวิร์สลง 20% ในเดือนกรกฎาคม 2024 และได้สั่งให้ Reality Labs ซึ่งเป็นแผนกที่รับผิดชอบเมตาเวิร์ส ลดค่าใช้จ่ายของแผนกลง 20% ภายในปี 2026
Reality Labs ได้ขาดทุนไปแล้ว 60 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2019 และยังคงขาดทุนในไตรมาสที่สองของปี 2024 เหตุผลที่เป็นไปได้ประการหนึ่งคือการที่แผนกนี้หันมาให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น
ปรับโครงสร้างและมุ่งเน้นไปที่ AI
ซักเคอร์เบิร์กเคยให้ความเห็นว่า Meta ต้องการขยายธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยการหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากขึ้น และเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัย AI
“เราได้เปิดตัวโมเดล AI โอเพนซอร์สระดับแนวหน้าเป็นครั้งแรก และเรายังคงเห็นการตอบรับที่ดีกับแว่นตา Ray-Ban Meta AI ของเรา” มหาเศรษฐีคนนี้กล่าวในระหว่างการประชุมหารือผลประกอบการเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม
แหล่งข่าว -> cointelegraph.com