Tim Berners-Lee ไม่ได้พูดถึงคริปโตหรือบล็อกเชน แต่ดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเมตาเวิร์ส (Metaverse)
Tim Berners-Lee ผู้คิดค้นเว็บไซต์ world wide web ได้ทำนายเกี่ยวกับอนาคตของอินเตอร์เน็ตเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี เขาคาดการณ์ว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI), ความจริงเสมือน (VR) และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยี จะเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของอินเตอร์เน็ตในอนาคต
จากการพูดคุยกับ CNBC Berners-Lee กล่าวว่า ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่น่าเชื่อถือจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับวิธีการโต้ตอบ “สิ่งที่ฉันคาดการณ์ไว้ อย่างหนึ่งคือคุณจะมีผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ที่คุณไว้ใจได้ และทำงานเพื่อคุณ เหมือนหมอ”
คำทำนายที่สองของเขาคือ มนุษย์จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง ความจริงเสมือน (VR) และการประมวลผลเชิงพื้นที่ (spatial computing) (นั่นก็คือการดื่มด่ำอยู่ในโลกเสมือนจริง) จะกลายเป็นรูปแบบหลักในการใช้งานคอมพิวเตอร์
คุณสามารถใช้งานชุดแว่น VR เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้ หลังจากนั้น เมื่อถอดแว่น VR ออก คุณก็สามารถทำกิจกรรมนั้นต่อบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะเคลื่อนไหวอย่างไร คุณสามารถหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานเชื่อมต่อกันราวกับเป็นอุปกรณ์เดียว โดยการเปลี่ยนผ่านระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ อย่างราบรื่น
ใจความสำคัญของคำทำนายนี้คือ การประมวลผลเชิงพื้นที่ ซึ่งหมายถึง การเคลื่อนไหวในพื้นที่ทางกายภาพที่สัมพันธ์กับการกระทำในพื้นที่ดิจิทัล จะเข้ามาแทนที่รูปแบบการใช้งานคีย์บอร์ด เมาส์ และหน้าจอสัมผัส
แม้ว่า Berners-Lee จะไม่ได้พูดถึง Web3 คริปโตเคอร์เรนซี หรือเทคโนโลยีบล็อกเชนในบทสัมภาษณ์ แต่เทคโนโลยีเมตาเวิร์สและการประมวลผลเชิงพื้นที่นั้นมีความเกี่ยวข้องโดยเนื้อแท้
คำทำนายที่สามของเขานั้น คาดการณ์ว่าในอนาคต หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ อาจเข้ามาดำเนินการเพื่อแบ่งแยกบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แม้ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเทคโนโลยีอาจมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย แต่การที่ Tim Berners-Lee เอ่ยถึงประเด็นนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม้กระทั่งบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
Tim Berners-Lee นั้นมีส่วนร่วมสำคัญในการสร้าง World Wide Web (WWW) ขณะทำงานที่ CERN ในปี 1989 เขาพัฒนาเครือข่ายไฮเปอร์เท็กซ์ควบคู่กับโปรโตคอลเครือข่าย (TCP) และระบบชื่อโดเมน (DNS) ซึ่งกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นของ World Wide Web จนถึงปัจจุบัน
แหล่งข่าว -> cointelegraph.com