ปริมาณของ ETH ที่ถูกเก็บไว้บนตลาดซื้อขาย (Exchange) อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11% เป็นสัญญาณว่า ETH จำนวนมากกำลังถูกล็อกไว้เพื่อใช้ใน DeFi
- Ether มีประสิทธิภาพดีกว่าคู่แข่งที่ใหญ่กว่าอย่าง Bitcoin ในปีนี้
- บริษัทวิเคราะห์ Bernstein มองว่า 5 ปัจจัยมีส่วนทำให้ราคาคริปโตนี้พุ่งสูงขึ้น
Ethereum (ETH) คริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า Bitcoin (BTC) ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ใหญ่กว่า โดยเติบโตขึ้น 33% ในปีนี้
รายงานระบุว่า อุปทานของ Ether มีแนวโน้มลดลง (deflationary) และไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย นับตั้งแต่บล็อกเชนของ Ethereum เปลี่ยนมาใช้โมเดลฉันทามติแบบ proof-of-stake ในเดือนกันยายน 2022 รายงานยังกล่าวอีกว่า ข้อเท็จจริงนี้อาจยังไม่ได้รับความสนใจมากพอ
ปริมาณของ ETH ที่ถูกล็อคไว้ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญ บริษัท Bernstein ชี้ว่า ETH ที่มีอยู่ในตลาดแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 11% ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีการนำเหรียญไปล็อคไว้มากขึ้น ETH ที่ถูกล็อคอยู่นี้ แบ่งเป็น ETH ที่อยู่ใน staking pools, สัญญาอัจฉริยะของ DeFi และบนเลเยอร์ 2
“เมื่อค่าธรรมเนียมธุรกรรม ETH เติบโตตามกิจกรรมบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้น (DeFi, NFTs, โทเคนต่าง ๆ) ผู้ถือ ETH จำนวนมากขึ้นจะได้รับแรงจูงใจให้ stake ETH ของพวกเขา” นักวิเคราะห์ Gautam Chhugani และ Mahika Sapra ระบุ
“เมื่อสัญญาอัจฉริยะทางการเงินบนเครือข่ายเลเยอร์ 2 ของ Ethereum (Arbitrum, Optimism และ Polygon) ขยายตัว ETH จำนวนมากจะถูกนำไปล็อคไว้ในสัญญาอัจฉริยะ สิ่งนี้นำไปสู่วัฏจักรป้อนกลับอัตโนมัติที่เพิ่มความต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ” นักวิเคราะห์ระบุ
Eigen layer ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้สำหรับ restaking Ether ดึงดูดความต้องการ staking เพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก “ETH (re)stakers ได้รับประโยชน์จากโทเคน/บริการใหม่ ๆ ที่เปิดตัวบน Eigen” รายงานระบุ
Bernstein กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2023 เครือข่ายเลเยอร์ 2 ใหม่ได้นำการปรับสเกลและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ามาสู่เครือข่าย Ethereum ซึ่งส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)
รายงานระบุว่า เมื่อกฎระเบียบโทเค็นมีความชัดเจนมากขึ้น “โทเคนแอปพลิเคชัน เช่น โทเคนด้าน DeFi อาจอนุญาตให้แบ่งปันรายได้กับผู้ถือโทเคนได้” โดยเสริมว่า “ระบบนิเวศ DeFi ที่แข็งแรงจะยังคงผลักดันกิจกรรมและค่าธรรมเนียม Ethereum ให้สูงขึ้น” จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ ETH
ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมของ Uniswap ส่งผลให้เหรียญ UNI ซึ่งเป็น governance token ของแพลตฟอร์ม มีราคาเพิ่มขึ้น 60% เหตุการณ์นี้ถูกยกตัวอย่างว่าเป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า “การออกแบบเศรษฐศาสตร์ของโทเคน” สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้
ปัจจัยเร่งปัจจัยสุดท้ายคือการอัปเกรด Dencun ของบล็อกเชน Ethereum ซึ่งวางแผนไว้ในเดือนมีนาคมของปีนี้ หลังจากการอัปเกรด “ผู้ร่วมพัฒนา ETH คาดหวังว่าจะมีการลดต้นทุนการทำธุรกรรมเลเยอร์ 2 ของ Ethereum ลงอีก 90% และเพิ่มผลกำไรของเครือข่ายเลเยอร์ 2″ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดบนเครือข่ายหลักและผลักดันปริมาณการซื้อขายให้สูงขึ้นในระบบนิเวศ รายงานเสริม
แหล่งข่าว -> coindesk.com