เมื่อแนวคิดของเมตาเวิร์สเข้าสู่กระแสหลักแล้ว ทุกคนตั้งแต่นักแสดงตลกไปจนถึงนักวิเคราะห์แห่ง Wall Street จะนำกรอบแนวคิดที่ตื่นเต้นมากให้เป็นมีมธุรกิจที่คลุมเครือที่ไมมีโอกาสสำเร็จ ตอนนี้การสำรวจได้หักล้างข้อสงสัยบางอย่างที่มีต่อเมตาเวิร์ส
การสำรวจพบว่า ผู้บริโภครุ่น Gen Z, millennials และ Gen X คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 5 ชั่วโมงต่อวันในเมตาเวิร์สในอีกห้าปีข้างหน้า จากการเปรียบเทียบ Nielsen ศึกษาล่าสุด พบว่าผู้บริโภคใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงดูทีวีผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ต่อวัน
การศึกษาของ McKinsey สำรวจผู้บริโภคกว่า 1,000 ราย ที่มีอายุระหว่าง 13 ถึง 70 ปี เจาะลึกความคาดหวังและความเป็นจริงของการเปลี่ยนจากแล็ปท็อปและสมาร์ทโฟนไปเป็นอุปกรณ์สวมใส่สำหรับความเป็นจริงเสมือน (VR) และความเป็นจริงเสริม (AR)

การยอมรับของกระแสหลักยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
อุปกรณ์ที่รู้จักกันดี คือ ชุดหูฟัง Meta Quest 2 VR ใช้สำหรับเล่นเกมเป็นหลัก อาจมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า การช้อปปิ้งอย่างดื่มด่ำ ตามมาด้วยการนัดหมายทางด้านสุขภาพจากระยะไกล การศึกษา การท่องเที่ยว และการเข้าสังคมผ่าน VR หรือใช้ VR เป็นกิจกรรมเมตาเวิร์สที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผู้บริโภคในอีกห้าปีข้างหน้า
เหตุผลหนึ่งที่จะนำไปสู่การใช้งานในวงกว้างได้แรงหนุนจากไดนามิกเหล่านี้คงไม่อีกกี่ปี เนื่องจากตัวเลือกที่จำกัดสำหรับอุปกรณ์เสมือนจรงิที่ใช้งานง่าย อาจมีตัวเลือกในการแข่งขันมากขึ้นสำหรับ Meta ในเร็ว ๆ นี้ มีข่าวลือว่า Bytedance บริษัทแม่ของ TikTok จะเปิดตัวชุดหูฟัง Pico standalone VR ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
Microsoft and Magic Leap เสนออุปกรณ์ AR ที่ดีที่สุด สนนที่ราคาหลายพันเหรียญสหรัฐ Meta, Google และเจ้าอื่น ๆ ก็พัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ AR ที่ทันสมัยและไม่แพงสำหรับผู้บริโภคทั่วไป มีการกล่าวกันว่า Apple กำลังเตรียมประกาศออกอุปกรณ์สวมใส่ในเดือนมกราคม 2023
ผู้ใช้งานจะสร้างความคุ้นเคยใหม่ในเมตาเวิร์ส
แม้เรื่องนี้จะมีความก้าวหน้า แต่อินเทอร์เฟซทที่สมจริงนั้นส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยและในบางกรณียังใช้งานยากเมื่อเทียบกับ iPhone เป็นต้น จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อย้ายผู้ใช้งานไปสู่การประมวลผลเฟสต่อไป
“[Current AR smart glasses] ให้คุณเปรียบเปรยกับโทรศัพท์ Android บนใบหน้าของคุณ สี่เหลี่ยม ๆ ลอยอยู่ในอากาศ นั่นไม่เพียงพอต่อการปรับใช้งาน (แว่นตาอัจฉริยะหลัก)” คุณ Jared Ficklin หัวหน้านักเทคโนโลยีสร้างสรรค์จาก Argodesign อดีตหุ้นส่วนของ Magic Leap กล่าว
“ก่อนที่ Windows จะได้รับการพัฒนา คุณต้องเข้าใจระบบคอมพิวเตอร์แบบไดเร็กทอรี ซึ่งมีคนไม่มีกี่คนที่เข้าใจมัน เมื่อเปรียบเปรยใหม่ถูกนำมาใช้ในการคำนวณ ซึ่งอิงตามสำนักงานในทศวรรษที่ 1960s โดยวางไฟล์ในโฟลเดอร์และมีเดสก์ทอป ทันใดนั้นเองประชากร 30% ก็สามารถเข้าใจสิ่งนั้น และพวกเขาเริ่มใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉลี่ย 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน” Ficklin กล่าว
แล้วผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์กระแสหลักจะย้ายจากคำเปรียบเทียบที่ทำงานในสำนักงานบนหน้าจอสองมิติ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และพีซีไปเป็นคำอุปมาสามมิติในแว่นได้อย่างไร?
“(คำเปรียบเปรยใหม่จะเป็น) การทำแผนที่” Ficklin กล่าว “เราจำเป็นต้องใช้วธีที่มนุษย์คิดเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ในแง่ของการทำแผนที่ และการสร้างอุปมาคอมพิวเตอร์ (เราจะใช้) ภาษาเชิงภูมิประเทศ เลเยอร์ และวัตถุ”
แหล่งข่าว -> qz.com