หลังจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หันมาสนใจมากขึ้น อย่างเช่น Microsoft, Meta (เดิมชื่อ Facebook)และ Nvidia คาดว่า จักรวาลนฤมิต (Metaverse) จะได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2022 ผู้นำอุตสาหกรรมมาจากวงการหลากหลาย ได้แก่ บล็อกเชน เกม ศิลปะ ค้าปลีก แฟชั่น สุขภาพ และอื่น ๆ กำลังดำดิ่งลงไปทำความเข้าใจเพื่อดื่มด่ำโลก Metaverse และวางโพซิชันตัวเองในฐานะผู้เล่นหลักในระบบนิเวศที่กำลังอุบัติใหม่นี้
ในเดือนที่ผ่านมา Gartner จัดอันดับให้ Metaverse เป็นหนึ่งในห้าเทคโนโลยีสร้างผลกระทบเปลี่ยนโลก จากลิสต์ 23 เทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่ ๆ ประจำปี 2022 (Emerging Technologies and Trends Impact Radar for 2022) ในขณะที่เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังวิวัฒน์และเป็นที่ยอมรับนำมาใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว การใช้จ่ายเกี่ยวกับ VR/AR ทั้งหมดทั่วโลกนั้น คาดว่าจะสูงถึง $72.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2024 เพิ่มขึ้นจากตัวเลข $12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020
ตามความเห็นของคุณ Gary Grossman รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการเทคโนโลยีจาก Edelman และผู้นำระดับโลกของ Edelman AI Center of Excellenc ระบุว่าแนวคิดเรื่อง Metaverse มีศักยภาพในวงกว้าง คุณ Grossman ตั้งข้อสังเกตว่า AI, VR, AR, 5G และบล็อกเชน (blockchain) อาจมาบรรจบกันเพื่อขับเคลื่อน Metaverse โดยเสริมว่าการผนวกรวมจะยิ่งใหญ่กว่าการมาบรรจบกันมาก บริษัทต่าง ๆ ยังคงเจาะลึกเรื่อง Metaverse เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันถัดไป หรือสิ่งที่ดีที่สุดถัดไปที่อุปกรณ์เทเลพอร์ต (teleportation device) สามารถทำงานได้ (ตามคำพูดของ Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta) ระบบนิเวศในปีนั้นคาดว่าจะเป็นอย่างไร? มาดูกันดีกว่ากว่า
จักรวาลนฤมิต (Metaverse) จะคึกคัก
สิ่งแรกมาพูดถึงเรื่องวลีฮิต ก่อนที่ Metaverse จะกลายเป็นคำศัพท์ในปีที่ผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก Meta ประกาศสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคม 3 มิติเชื่อมกับชุดหูฟัง Oculus เป็นทิศทางของบริษัทหลัก แต่อะไรคือ Metaverse ที่แท้จริง? แม้จะมีการเสวนากันมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้และอนาคตของ Web 3.0 และก็มีการพูดถึงกันมากขึ้นในปีนี้ด้วย เนื่องจากเราจะได้เห็นกิจกรรมอื่น ๆ อย่งาเช่น Metaverse Summit 2022 ที่กำลังจะมาถึง
คุณ Andrew White หัวหน้าฝ่ายวิจัย ข้อมูล และการวิเคราะห์ของ Gartner ระบุเอาไว้ในบทความเผยแพร่หัวข้อ “Really, What is the metaverse?” ว่า Metaverse จะเป็นแฝดดิจิทัล (digital twin) ของจักรวาลอย่างมีประสิทธิภาพมาก
คุณ White ยังอธิบายถึงวิดีโอเกม Warcraft ซึ่งเป็นเกมเล่นตามบทบาทออนไลน์ที่มีผู้เล่นจำนวนมากกว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของ Metaverse โดยอ้างถึงธรรมชาติที่สมจริง อินสแตนซ์อิสระ เสรีภาพ และการทำงานร่วมกันเป็นบรรทัดฐษน การขยายคำอธิบายของคุณ White นั้น Gartner ให้คำจำกัดความ Metaverse ว่าเป็น “สภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ต่อเนื่องและสมจริงของเครือข่ายเชื่อมต่อถึงกันมีความเป็นอิสระและยังใช้โปรโตคอลที่ยังไม่ได้กำหนดสำหรับการสื่อสาร เปิดใช้งานเนื้อหาดิจิทัลที่ต่อเนื่อง มีลักษณะการกระจายศูนย์ สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับโลกจริงแบบเรียลไทม์ มีเนื้อหาเชิงพื้นที่และจัดทำดัชนีได้”
Metaverse จะให้โอกาสเห็นถึงสถานะโลกเสมือนจริงของเราเสริมโลกทางกายภาพ ในโลก Metaverse แทนที่จะเข้าร่วมชุมนุมในโลกกายภาพ คุณสามารถอยู่ที่นั่นในโลกเสมือนจริงได้ แทนที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหนังสือ คุณสามารถอยู่ที่นั่นเพื่อรับชมราวกับว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้นแบบเรียลไทม์
การปะทะกันระหว่างการกระจายศูนย์ (Decentralized) Vs. การรวมศูนย์ (Centralized)
การปะทะกันระหว่างการกระจายศูนย์ (Decentralized) Vs. การรวมศูนย์ (Centralized) กำลังร้อนแรงขึ้น ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังแข่งขันกันเป็นผู้นำใน Metaverse โครการกระจายศูนย์หลายโครงการอ้างว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta จะเป็นภัยคุกคามต่อ Metaverse แบบเปิด/กระจายศูนย์ ซึ่งผู้ใช้งานจะบอกว่าเองว่าแพลตฟอร์มควรทำงานอย่างไร ในขณะบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ต่างก็หันมาสนใจมากขึ้น โครงการ Metaverse แบบกระจายศูนย์อย่าง The Sandbox, Decentraland, Wilder World, Starlink และอื่น ๆ ได้สร้างโครงการ Metaverse ที่แตกต่างกันมานานแล้วก่อนหน้านี้
IntoTheBlock บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านบล็อกเชน ตั้งข้อสังเกตในรายงานว่า Metaverse แบบปิด/รวมศูนย์นั้นอยู่ภายใต้ข้อจำกัดบางประการในโหมด Web 2.0 ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะส่งผลให้เกิดเครือข่ายที่คลุมเครือและปลอดภัยน้อยกว่า โดยที่มูลค่าที่สร้างขึ้นจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งาน เช่นเดียวกับกรณีที่มีแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์ เช่น Ethereum
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ กล่าวว่าแพลตฟอร์ม Metaverse หลายแพลตฟอร์มจะรวมตัวกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่หลอมรวมกันได้ ซึ่งจะถือว่าเป็น “Metaverse ที่แท้จริง” ในอนาคต นั่นเอง
แหล่งข่าว -> venturebeat.com